X
บทความนี้ ร่วมเขียน โดย Lisa Bryant, ND. ดร.ไบรอันท์เป็นแพทย์แผนธรรมชาติและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องยาจากธรรมชาติในพอร์ตแลนด์ เธอผ่านการฝึกงานในศูนย์อายุรแพทย์แผนธรรมชาติในวิทยาลัยยาธรรมชาติแห่งชาติในปี 2014
มีการอ้างอิง 42 ข้อที่อ้างอิงอยู่ในบทความ ซึ่งสามารถพบได้ทางด้านล่างของบทความ
บทความนี้ถูกเข้าชม 7,900 ครั้ง
ถึงยารักษาสิวจะช่วยแก้สิวเห่อได้ แต่ก็มีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์อย่างทำให้หน้าแห้ง สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือเกิดอาการระคายเคือง ที่สำคัญคือแพงจริงๆ! วันนี้คุณมาถูกบทความแล้ว เพราะบทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติให้คุณเอง ทั้งนี้ ถ้าใช้วิธีต่างๆ ไป 4 - 8 อาทิตย์แล้วไม่ดีขึ้น หรือในกรณีที่เป็นสิวซีสต์ สิวอักเสบแดงเป็นก้อน หรือสิวเห่อลาม แนะนำให้หาคุณหมอโรคผิวหนังจะดีที่สุด
ขั้นตอน
-
ล้างหน้าแล้วซับให้แห้ง. ถ้าผมปรกหน้า ให้รวบขึ้นไป จะใช้ยางรัดผม ผ้าคาดผม หรือกิ๊บดำ จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำยาสูตรอ่อนโยน จะแบบไม่ผสมน้ำมัน หรือใช้น้ำมันจากพืชก็ได้ คุณหมอโรคผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้กลีเซอรีน น้ำมันเมล็ดองุ่น และน้ำมันทานตะวัน เพราะดูดซึมง่ายและละลายน้ำมันตัวอื่น[1]
- ให้นวดด้วยปลายนิ้วแทนการใช้ผ้าหรือฟองน้ำขัดหน้า เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองกว่าเดิม
- นวดน้ำยาทำความสะอาดผิวประมาณ 1 นาที โดยนวดวนอย่างเบามือ ห้ามถูไถ แค่ช่วยให้น้ำยาทำความสะอาดชะคราบสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกมา
- ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นนิดๆ ให้สะอาด
- ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าคอตตอนสะอาดๆ ห้ามเช็ดถูใบหน้า เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองกว่าเดิม
-
ใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อ. น้ำมันต่อไปนี้ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณฆ่าเชื้อ ต้านแบคทีเรีย แปลว่าช่วยกำจัดแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของสิว ป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่ คุณเลือกใช้ได้ตามชอบ (กลิ่นไหนถูกใจที่สุด) หรือตามสภาพผิวก็ได้ เช่น ถ้ามีสิวบ้าง (เพราะแบคทีเรีย) นอกเหนือจากสิวหัวดำ แนะนำให้เลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย เช่น ทีทรีออยล์[2]
- น้ำมันสเปียร์มินต์หรือเปปเปอร์มินต์ บางคนใช้แล้วระคายเคือง เพราะงั้นต้องทดสอบแค่หยดเล็กๆ ที่ข้อมือก่อน โดยรอสัก 10 - 15 นาที ถ้าไม่เกิดอาการระคายเคือง ก็ใช้ได้เลย เริ่มจากใช้ 1 หยดต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร (1 ควอร์ต) ทั้งเปปเปอร์มินต์และสเปียร์มินต์มีเมนทอล ที่มีสรรพคุณทั้งฆ่าเชื้อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน[3]
- ไทม์ (Thyme) เหมาะสำหรับคนที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เพราะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย แถมยังทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เพราะไปขยายหลอดเลือด[4]
- ดาวเรืองฝรั่ง (Calendula) ช่วยเร่งการฟื้นตัวและมีสรรพคุณต้านจุลชีพ[5]
- ลาเวนเดอร์ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง ลดซึมเศร้า วิตกกังวล รวมถึงมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย[6]
-
ต้มน้ำแล้วเทใส่ชาม. เทน้ำประมาณ 1 ลิตรใส่ในกา แล้วต้มประมาณ 1 - 2 นาที พอน้ำเดือด 1 - 2 นาที ให้หยดน้ำมันหอมระเหยที่ต้องการลงไป 1 - 2 หยด
- ถ้าไม่มีน้ำมันหอมระเหย ให้ใช้สมุนไพรอบแห้ง ½ ช้อนชา (ประมาณ 1 - 2 กรัม) ต่อน้ำ 1 ลิตรแทน
- พอผสมสมุนไพรหรือน้ำมันลงไปแล้ว ให้ต้มน้ำต่ออีก 1 นาที
- เสร็จแล้วปิดเตา ยกหม้อลงพัก เลือกที่ที่ก้มหน้าไปอังได้สะดวก เพราะต้องยืนอยู่ท่านั้นสักพัก
-
ทดสอบอาการแพ้ก่อนอบไอน้ำ. แน่นอนว่าบางคนก็แพ้น้ำมันสมุนไพรที่ผสมในน้ำได้ ถึงแต่ก่อนจะเคยใช้แล้วไม่เป็นไร แต่แนะนำให้ทดสอบใหม่ทุกครั้งก่อนอบไอน้ำใบหน้า ให้ทดสอบอังหน้ากับไอน้ำที่ผสมน้ำมันแต่ละชนิดสัก 1 นาที แล้วเอาหน้าออกห่างสัก 10 นาที ถ้าไม่จาม และผิวก็ปกติดี ก็ค่อยเอาน้ำไปตั้งไฟอีกรอบ จากนั้นค่อยอบไอน้ำจริงจัง[7]
-
ก้มน้ำอังไอน้ำในชาม โดยที่ใช้ผ้าคลุมหัวไว้. เอาผ้าคอตตอนสะอาดผืนใหญ่คลุมหัวไว้ ให้เป็นเหมือน "เต็นท์" กักไอน้ำไว้รอบๆ ใบหน้า พอทำเต็นท์ผ้านี้เสร็จแล้ว ก็ให้ก้มไปอังหน้าเหนือไอน้ำ
- ระหว่างที่อบไอน้ำ ต้องหลับตาตลอด จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา[8] หรือใช้ที่ปิดตาก็ได้
- อังหน้าห่างจากน้ำ 1 ไม้บรรทัด (12 นิ้ว หรือก็คือ 30 ซม.) ขึ้นไป ผิวจะได้ไม่ไหม้ เราแค่จะขยายหลอดเลือด ให้รูขุมขนเปิด อย่าให้ผิวเสียเพราะความร้อน
- หายใจตามปกติได้เลย อย่าเกร็ง! คิดซะว่ากำลังเสริมสวยเพลินๆ
- อังหน้าอบไอน้ำไปแบบนี้ประมาณ 10 นาที
-
ซับหน้าให้แห้ง แล้วทามอยส์เจอไรเซอร์. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นนิดๆ จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าคอตตอนสะอาด ห้ามเช็ดถูแรงๆ สุดท้ายทามอยส์เจอไรเซอร์ให้หน้านุ่มชุ่มชื้น จะเป็นโลชั่นหรือครีมก็ได้ ขอแค่เป็น non-comedogenic คือไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันจนสิวเห่อกว่าเดิม ให้อ่านฉลากเช็คว่ามีคำว่า non-comedogenic
- ผลิตภัณฑ์ที่เป็น “Non-comedogenic” ใช้แล้วไม่ทำให้เกิดสิว ทั้งสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวทั่วไป[9] ถ้าปกติสิวขึ้นง่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าทาผลิตภัณฑ์ไหนบนใบหน้า ตั้งแต่โลชั่นไปจนถึงโฟมหรือน้ำยาล้างหน้า และเครื่องสำอาง ก็ต้องเลือกที่เป็น non-comedogenic ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันและสิว
- หนึ่งในมอยส์เจอไรเซอร์ที่แนะนำก็เช่น น้ำมันมะพร้าว จะใช้น้ำมันมะพร้าวเพียวๆ หรือน้ำมันมะพร้าวผสมกระเทียมก็ได้ โดยคั้นน้ำจากกระเทียม 1 กลีบ ผสมในน้ำมันมะพร้าว 1 ขวดโหล เอาน้ำมันไปอุ่น แล้วคนผสมให้เข้ากัน อยู่ได้ประมาณ 30 วันถ้าแช่เย็น ใช้ทาให้ทั่วหน้าวันละ 1 - 2 ครั้ง ทั้งน้ำมันมะพร้าวและกระเทียมช่วยฆ่าเชื้อในสิวได้ ส่วนกรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acids) ก็จะไปละลายสิวอุดตัน ช่วยให้รูขุมขนเปิด กระเทียมอาจจะฉุนหน่อย ถ้าไม่ชอบกลิ่น ให้ใช้แค่น้ำมันมะพร้าวอย่างเดียว[10]
-
ทำซ้ำตามขั้นตอน จนกว่าจะอาการดีขึ้น. ช่วงแรกให้อบไอน้ำใบหน้าสักวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าและตอนเย็น พอผ่านไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ผิวหน้าก็น่าจะดีขึ้น ถ้าดีขึ้นเมื่อไหร่ให้ลดความถี่ลง เหลืออบไอน้ำแค่วันละ 1 ครั้งโฆษณา
-
ทำไมมาสก์หน้าด้วยสมุนไพรแล้วช่วยได้. ส่วนผสมต่อไปนี้ที่ใช้มาสก์หน้า ต่างก็มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยทำความสะอาด ให้ผิวเต่งตึง ฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมๆ ไปกับการรักษาสิว แต่ก็ทำให้หน้าแห้งได้เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าหน้าแห้งอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ใช้[11] แต่ถ้าเป็นคนหน้ามัน มาสก์หน้าด้วยวัตถุดิบที่มีฤทธิ์ฝาดสมานอ่อนๆ จะช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้นของผิว
-
ผสมมาสก์สมุนไพร. หาชามมาใบหนึ่ง แล้วผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) ไข่ขาว 1 ฟอง กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา (5 มล.) เข้าด้วยกัน วัตถุดิบที่ว่ามามีสรรพคุณตามธรรมชาติช่วยฟื้นฟูผิว เช่น น้ำผึ้งช่วยต้านแบคทีเรียและมีฤทธิ์ฝาดสมาน[12] ไข่ขาวนอกจากช่วยให้มาสก์ข้นขึ้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ฝาดสมาน ส่วนน้ำมะนาวทั้งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นไวท์เทนนิ่งตามธรรมชาติ[13]
-
ใส่น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อสัก 2 - 5 หยด. พอผสม base หรือตัวเนื้อมาสก์เสร็จแล้ว ให้หยดหนึ่งในน้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้ลงไป 2 - 5 หยด
- เปปเปอร์มินต์
- สเปียร์มินต์
- ลาเวนเดอร์
- ดาวเรืองฝรั่ง (Calendula)
- ไทม์ (Thyme)
-
มาสก์หน้า. ใช้ปลายนิ้วปาดส่วนผสมให้ทั่วหน้า คอ และผิวส่วนอื่นๆ ที่ต้องการบำรุง เป็นขั้นตอนที่เลอะเทอะหน่อย ให้ทำในที่ที่ล้างทำความสะอาดได้ง่าย เช่น ในห้องน้ำ อย่าโปะมาสก์เยอะเกินจนหยดจากหน้า หรือแห้งช้า
- ถ้าไม่อยากมาสก์ทั้งหน้า จะแต้มส่วนผสมเฉพาะจุดที่มีปัญหาก็ได้ โดยใช้คอตตอนบัดป้ายมาสก์ไปแต้มสิว
-
รอจนส่วนผสมแห้ง. อันนี้แล้วแต่ว่ามาสก์หน้าด้วยส่วนผสมมากน้อยแค่ไหน ก็จะแห้งช้า-เร็วต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระวังอย่าให้มาสก์ไหลเลอะเทอะระหว่างรอให้แห้ง
-
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จากนั้นซับหน้าให้แห้ง. พอผ่านไป 15 นาที และส่วนผสมที่ใช้มาสก์หน้าบำรุงผิวจนได้ที่แล้ว ก็ถึงเวลาล้างออก ให้ใช้น้ำอุ่นนิดๆ ล้างหน้าและมือจนสะอาด อย่าเช็ดถูหรือขัดด้วยผ้าหรือฟองน้ำ เพราะสิวจะระคายเคืองกว่าเดิม จากนั้นใช้ผ้าคอตตอนสะอาดๆ ซับหน้าให้แห้ง ห้ามเช็ดถูแรงๆ จนระคายเคือง
- ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์แบบ non-comedogenic ไม่อุดตันรูขุมขน
โฆษณา
-
เกลือ sea salt ใช้รักษาสิวได้ยังไง. เกลือทะเล หรือ sea salt ช่วยกำจัดแบคทีเรียและคืนแร่ธาตุให้ผิว[14] sea salt ช่วยละลาย sebum หรือน้ำมันผิวตามธรรมชาติได้ด้วย (ใครที่หน้ามันก็เพราะมี sebum เยอะเกินไป) เหมาะสำหรับคนที่มีสิวน้อยหรือเยอะปานกลาง
- ปกติ sea salt จะไม่รบกวนการทำงานของยาสิวที่คุณใช้อยู่
- แต่ปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนังให้แน่ใจว่าวิธีธรรมชาติที่คุณใช้ เหมาะกับลักษณะอาการของคุณก่อนจะปลอดภัยที่สุด
- ระวังอย่าใช้ sea salt เยอะไป เพราะทำให้ผิวแห้ง แถมกระตุ้นให้ผลิต sebum ออกมาเยอะขึ้น จนสิวเห่อได้
-
ล้างหน้าด้วยน้ำยาอ่อนๆ. ต้องล้างหน้าก่อน ด้วยโฟมหรือน้ำยาสูตรถนอมผิว ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม โดยใช้ปลายนิ้วนวดวนเบาๆ ขจัดสิ่งสกปรก ประมาณ 1 นาทีก็ล้างออกได้ ด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นนิดๆ สุดท้ายซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด แล้วใช้หนึ่งในวิธีบำรุงผิวหน้าด้วย sea salt ต่อไปนี้ เป็น treatment หลังล้างหน้า
-
ผสม sea salt กับน้ำร้อนจนได้มาสก์. มาสก์เหมาะกับการรักษาสิวบนใบหน้า ให้คนผสม sea salt 1 ช้อนชา (ประมาณ 5 - 6 กรัม) ในน้ำร้อน 3 ช้อนชา (15 มล.) จนเข้ากัน น้ำต้องร้อนจน sea salt ละลายหมด แล้วเติมส่วนผสมต่อไปนี้ลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.)
-
ทามาสก์ที่ใบหน้าด้วยปลายนิ้ว. ทาส่วนผสมให้ทั่วหน้าโดยใช้ปลายนิ้ว อย่าให้เลอะเทอะเกินไป ระวังส่วนผสมเข้าตาด้วย จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที อย่าเกิน เพราะ sea salt ดูดน้ำจนผิวแห้งได้
- พอครบ 10 นาที ให้ล้างมาสก์ออกด้วยน้ำเย็นถึงอุ่นนิดๆ แล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
- ทามอยส์เจอไรเซอร์สูตร non-comedogenic ปิดท้าย
- ถึงจะอยากผิวใสเร็วๆ แต่ขอให้ใช้สูตรนี้ล้างหน้าหรือแช่ตัวแค่วันละ 1 ครั้งพอ ไม่งั้นผิวจะแห้งมาก กระทั่งมอยส์เจอไรเซอร์ก็ช่วยไม่ได้
-
ทำสเปรย์ sea salt ใช้แทนมาสก์. ส่วนผสมสำหรับทำสเปรย์ฉีดพ่น หลักๆ แล้วก็เหมือนสูตรทำมาสก์ แต่เปลี่ยนเป็นผสม sea salt 10 ช้อนชา (60 กรัม) กับน้ำร้อน 30 ช้อนชา (150 มล.) และวุ้นว่านหางจระเข้/ชาเขียว/น้ำผึ้ง 10 ช้อนโต๊ะ (150 มล.) เข้าด้วยกัน เสร็จแล้วกรอกใส่ขวดสำหรับฉีดพ่น
- ถ้าจะเก็บไว้ใช้วันหลัง ให้แช่ตู้เย็น
-
ฉีดพ่นส่วนผสมให้ทั่วใบหน้า. ไม่ว่าจะดูแลผิวสูตรไหน ก็ต้องล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นกับน้ำยาสูตรถนอมผิวซะก่อน ให้หลับตาหรือหาอะไรมาปิดตาป้องกันน้ำเกลือเข้าตาจนแสบ จากนั้นฉีดพ่นส่วนผสมให้ทั่วคอและใบหน้า
- ก็เหมือนตอนมาสก์หน้า คืออย่าทิ้งไว้นานเกิน 10 นาที ครบแล้วให้รีบล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นนิดๆ
- ซับให้แห้ง แล้วลงมอยส์เจอไรเซอร์สูตร non-comedogenic
-
แช่น้ำเกลือ “ทั้งตัว”. ถ้าสิวเห่อกินบริเวณกว้างบนตัว เช่น หลัง หรือหน้าอก ให้แช่ทั้งตัวในน้ำสูตรบำรุงผิว จะเห็นผลและสะดวกกว่าใช้มาสก์หรือสเปรย์ ถึงเกลือทำอาหารตามปกติจะไม่ทำร้ายผิว แต่จะไม่ได้ประโยชน์จากแร่ธาตุต่างๆ ที่พบใน sea salt เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม คลอรีน ไอโอดีน โพแทสเซียม ซิงค์ และธาตุเหล็ก[20] เพราะงั้นแช่น้ำผสมเกลือธรรมดาไปก็ไม่มีผลอะไร
- ผสม sea salt 2 ถ้วยตวง (250 - 260 กรัม) กับน้ำอุ่นจัดถึงร้อนในอ่างอาบน้ำ เพื่อให้ sea salt ละลายเร็ว
- แช่ตัวในน้ำ 15 นาที ห้ามเกิน เพราะนานไปผิวจะแห้งมาก
- ถ้าที่หน้าก็มีสิว ให้เอาผ้าขนหนูแช่น้ำในอ่าง แล้วประคบหน้า 10 - 15 นาที
- ล้างน้ำผสม sea salt ออกด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ
- ซับให้ผิวแห้ง แล้วลงมอยส์เจอไรเซอร์ให้ทั่วตัว เพื่อป้องกัน sea salt ทำผิวแห้งผาก
- อย่าแช่ตัวสูตรนี้เกินวันละ 1 ครั้ง
โฆษณา
-
เลือกน้ำมันหลักที่จะใช้เป็น base ของ cleanser. ต้องเลือกน้ำมันดีๆ ระวังเรื่องอาการแพ้ โดยเฉพาะถ้าผิวบอบบาง แพ้ง่าย เช่น ถ้าปกติคุณแพ้ถั่ว ก็อย่าใช้น้ำมันเฮเซิลนัท ต่อไปนี้คือรายชื่อน้ำมันต่างๆ บางตัวก็แพงกว่าเพื่อน บางตัวก็หาง่ายหน่อย แต่ทั้งหมดเป็นน้ำมันแบบ non-comedogenic คือไม่อุดตันรูขุมขน ช่วยให้ผิวที่มีปัญหาสิวดีขึ้นได้[21]
- อาร์แกนออยล์
- น้ำมันเมล็ดกัญชง
- น้ำมันเชีย (Shea olein)
- น้ำมันทานตะวัน
- น้ำมันอื่นๆ ที่ใช้ได้ (เป็น non-comedogenic สำหรับผิวส่วนใหญ่) คือน้ำมันมะกอกกับน้ำมันละหุ่ง อย่างหลังอาจทำให้ผิวบางคนแห้งได้ แต่ส่วนใหญ่จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นดี
- น้ำมันมะพร้าวต่างจากน้ำมันอื่นๆ ตรงที่มีกรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acids) ช่วยกำจัดแบคทีเรีย เช่น Propionibacterium acnes โดยจะไปต้านกันกับกรดไขมันสายยาว (long chain fatty acids) ใน sebum ที่ไปอุดตันรูขุมขน[22]
-
เพิ่มน้ำมันที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อ. น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรในรายชื่อต่อไปนี้ ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณที่ช่วยลดแบคทีเรีย P. acnes ได้ น้ำมันต่อไปนี้ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นหอม ให้เลือกน้ำมันกลิ่นที่ชอบได้เลย แต่ไม่ว่าจะเลือกสูตรไหน ต้องทดลองใช้แค่จุดเล็กๆ ก่อนใช้จริงเสมอ เพื่อป้องกันอาการแพ้
-
ผสมน้ำมัน cleanser สูตรคุณ. จะผสม cleanser ใช้มากหรือน้อยก็ตามต้องการ แต่จะสะดวกกว่าถ้าผสมทีละเยอะๆ แล้วแช่เย็นเก็บไว้ในที่มืดๆ สัดส่วนของส่วนผสมที่ต้องคงไว้ไม่ว่าผสมมากหรือน้อย ก็คือ
- ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยสมุนไพร 3 - 5 หยด ต่อน้ำมันหลักทุก 1 ออนซ์ (30 มล.)
-
ใช้มือล้างหน้าด้วย cleanser สูตรธรรมชาติ. เทน้ำมันที่ผสมแล้วลงในฝ่ามือเล็กน้อย แล้วใช้ล้างหน้า ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าหรือฟองน้ำ เพราะจะทำให้สิวระคายเคืองกว่าเดิม ให้ใช้นิ้วนวดวนเป็นวงเล็กๆ เบาๆ ประมาณ 2 นาที
-
เช็ดน้ำมันออกด้วยผ้าอุ่นๆ. ถ้าล้างหน้าตามปกติจะไม่สะอาดพอ เพราะน้ำเปล่าชะล้างน้ำมันออกไปไม่ได้ ให้ล้าง cleanser สูตรน้ำมันนี้โดยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่น แล้วโปะที่หน้าประมาณ 20 วินาที ค่อยๆ เช็ดน้ำมันออกไป จากนั้นล้างน้ำมันออกจากผ้าด้วยน้ำอุ่น ทำซ้ำจนหน้าสะอาด ไม่เหลือน้ำมันส่วนเกิน
- ล้างหน้าแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าคอตตอน
- ใช้วิธีนี้วันละ 2 ครั้ง และหลังเหงื่อออกเยอะๆ
โฆษณา
-
ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง. ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ล้างหน้าตอนเช้าหลังตื่นนอน เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินที่สะสมในผิวหนังมาตลอดคืน อีกครั้งให้ล้างหน้าก่อนนอน เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกสะสมระหว่างวัน[28] นอกเหนือจากนั้นคือตอนเหงื่อออกเยอะๆ เช่น หลังออกกำลังกาย ไปฟิตเนส หรือออกนอกบ้านในวันที่อากาศร้อนเป็นพิเศษ ให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเหงื่อออกมากก็ต้องอาบเพิ่มเติม
- ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็น non-comedogenic หรือ cleanser ที่ผสมเองจากน้ำมันธรรมชาติ
- ใช้ sea salt ตามวิธีการที่แนะนำ ระวังอย่าใช้ sea salt เยอะเกิน เพราะจะทำให้ผิวแห้ง สูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ จนสิวเห่อได้
-
ใช้นิ้วนวดวนเวลาล้างหน้าด้วย cleanser. บางคนว่าไม่สะใจ ชอบขัดหน้าด้วยผ้าหรือถุงมือผลัดผิว แต่จริงๆ แล้วอุปกรณ์ที่ถนอมผิวหน้าที่สุด ก็คือนิ้วมือของเรานี่เอง โดยเฉพาะถ้ามีสิวอยู่แล้ว ไม่ควรขัดถูด้วยอะไรสากๆ จนระคายเคือง เวลาล้างหน้าให้นวด cleanser วนๆ ที่ผิวหน้าอย่างเบามือ ประมาณ 10 วินาที[29]
- ถ้าผิวมีริ้วรอย อย่าขัดผิว เพราะอาจทำให้ผิวลอกก่อนเวลาอันควร เหมือนการแกะสะเก็ดแผลเป็นจากผิวหนังที่ยังฟื้นตัวไม่เสร็จสิ้น จนกลายเป็นแผลเป็น ผิวกระดำกระด่าง[30]
-
ห้ามบีบสิว เพราะผิวจะเสียกว่าเดิม.[31] [32] ไม่ว่าสภาพสิวจะแย่แค่ไหน ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าสิวและสิวหนองต่างๆ มีแบคทีเรียอันตรายอยู่ด้านใน หนองที่ไหลออกมาจากสิวที่คุณบีบ เต็มไปด้วยแบคทีเรีย P. acne ถึงจะดีใจที่กำจัดสิวไปได้สักที แต่จริงๆ แล้วคุณได้เปิดช่องให้แบคทีเรียเข้าไปในผิวสุขภาพดีของคุณ จนสิวเห่อลุกลาม แทนที่จะหายไปอย่างที่ต้องการ
- นอกจากนี้บีบสิวแล้วยังเสี่ยงเกิดแผลเป็น สีผิวไม่สม่ำเสมอ
-
ปกป้องผิวจากแสงแดด. หลายคนเชื่อว่าผิวแทนแล้วสิวจะหาย หรือป้องกันสิวได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่พบหลักฐานรับรองแต่อย่างใด[33] จริงๆ แล้วทั้งแสงแดดและเตียงอบผิวแทน ต่างก็ทำให้ผิวเสีย เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยารักษาสิวหรือยาอื่นๆ บางชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นด้วย
- ยาที่ว่าก็เช่น ยาปฏิชีวนะ อย่าง ciprofloxacin, tetracycline, sulfamethoxazole และ trimethoprim ยาแก้แพ้อย่าง diphenhydramine (Benadryl) ยารักษามะเร็ง (5-FU, vinblastine, dacarbazine) ยาโรคหัวใจอย่าง amiodorone, nifedipine, quinidine และ diltiazem ยา NSAID (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) อย่าง naproxen และยาสิว isotretinoin (Accutane) กับ acitretin (Soriatane)
โฆษณา
-
กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index (GI)) ต่ำ ช่วยป้องกันสิวได้. คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงนมและช็อคโกแลตเพราะกลัวสิวขึ้น ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็แนะนำว่าอาหารไม่ได้ก่อให้เกิดสิวโดยตรง แต่งานวิจัยล่าสุด ได้ศึกษาอาหารการกินของชนพื้นเมืองทั่วโลกที่ไม่พบสิวในวัยรุ่น เมื่อเปรียบเทียบอาหารการกิน ระหว่างคนอเมริกันที่วัยรุ่น 70% มีสิว กับชนเผ่าที่ไม่มีสิวเลย พบหลักฐานชัดเจนว่าวัยรุ่นชนเผ่าไร้สิวไม่ได้กินผลิตภัณฑ์นมกับน้ำตาลมากเกินพิกัด ตรงข้ามกับวัยรุ่นอเมริกัน[34] นี่คือสาเหตุว่าทำไมบางคนกินผลิตภัณฑ์นมและน้ำตาลแปรรูปแล้วยิ่งมีแนวโน้มเป็นสิวมากขึ้น เพราะอาหารพวกนี้ไปเพิ่มการอักเสบ ทำให้ผิวหนังเราเหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย[35] หลายงานวิจัยชี้ว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index (GI)) ต่ำ จะช่วยลดสิวได้เป็นอย่างมาก[36] อาหารที่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ก็คืออาหารที่ปล่อยน้ำตาลเข้าเลือดช้าๆ อาหารที่ค่า GI ต่ำที่สุดก็เช่น[37]
- ซีเรียลรำข้าว มูสลีธรรมชาติ และข้าวโอ๊ตรีดแผ่น
- ขนมปังโฮลวีท ขนมปัง pumpernickel (ข้าวไรย์และโฮลวีท) ขนมปังโฮลเกรน ค่า GI ต่ำสุดพบในข้าวกล้อง ข้าวบาร์เล่ย์ และพาสต้าโฮลเกรน
- ผักส่วนใหญ่ ยกเว้นบีทรูท ฟักทอง และหัวผักกาด
- ถั่วเปลือกแข็ง
- ผลไม้ส่วนใหญ่ ยกเว้นแตงโมและอินทผาลัม ส่วนมะม่วง กล้วย มะละกอ สับปะรด ลูกเกด และมะเดื่อ พวกนี้มีค่า GI ปานกลาง
- ถั่วเมล็ดแห้ง
- โยเกิร์ต
-
เพิ่มวิตามินเอและดี ให้ผิวแข็งแรง. นอกจากกินอาหารที่มี GI ต่ำแล้ว แนะนำให้เพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างผิวให้แข็งแรง วิตามินต่างๆ ที่สำคัญต่อผิว ก็คือวิตามินเอและดี[38] อาหารที่แนะนำก็คือ[39] [40]
- ผัก: มันเทศ ปวยเล้ง แครอท ฟักทอง บรอคโคลี่ พริกหวานแดง สควอช (summer squash)
- ผลไม้: แคนตาลูป มะม่วง แอพริคอต
- ถั่วเมล็ดแห้ง: ถั่วตาดำ (Black-eyed peas)
- เนื้อสัตว์และปลา: ตับวัว ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน
- ปลา: น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
- ผลิตภัณฑ์นม: นม โยเกิร์ต ชีส
-
ตากแดดรับวิตามินดีบ้าง. ถึงเดี๋ยวนี้อาหารต่างๆ จะมีการเพิ่มวิตามินดีเข้าไป แต่แค่วิตามินดีที่ได้จากอาหารนั้นไม่เพียงพอ ถึงจะกินอาหารอุดมวิตามินดีมากแค่ไหน ทางเดียวที่จะได้รับวิตามินดีเต็มที่ คือให้ผิวได้ออกแดดสักอาทิตย์ละ 10 - 15 นาที แสงแดดจะไปกระตุ้นให้ผิวสร้างวิตามินดี[41] ช่วงนั้นอย่าทาครีมกันแดด และเปิดเผยผิวให้โดนแสงแดดมากที่สุด ตราบใดที่ไม่รู้สึกแสบร้อน
- แต่อย่าตากแดดจัดๆ นานๆ โดยไม่ทาครีมกันแดด เพราะทำร้ายผิวจนเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง[42]
- ลองปรึกษาคุณหมอดู เรื่องตรวจเลือดหาระดับวิตามินดี เพราะด้วยอาหารการกินและการได้รับแสงแดด บางทีคุณอาจพร่องวิตามินดีก็ได้
-
เพิ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดสิวได้. มีงานวิจัยที่ชี้ว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ดีต่อคนที่เป็นสิว[43] กรดไขมันโอเมก้า-3 จะไปจำกัดการผลิต leukotriene B4 ในร่างกาย ตัวนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ผลิต sebum หรือน้ำมันตามธรรมชาติมากเกินไป จนเกิดสิวอักเสบได้ ปกติ sebum คือน้ำมันผิวตามธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แต่ถ้าผลิตออกมาเยอะไป จะไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวได้ ถ้าคุณเพิ่มอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ก็จะลดสิวได้ อาหารที่แนะนำก็คือ
- เมล็ดพืชและถั่วเปลือกแข็ง: เมล็ดแฟลกซ์ และน้ำมันจากเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ฟักทองน้ำเต้าหู้ (butternut) และวอลนัท
- ปลาและน้ำมันปลา: แซลมอน ซาร์ดีน แมคเคอเรล (ปลาทู) ปลาใบขนุน (whitefish) ปลาแชด (shad)
- สมุนไพรและเครื่องเทศ: โหระพา ออริกาโน กานพลู มาร์จอรัม
- ผัก: ปวยเล้ง เมล็ดไควาเระ (หัวไชเท้างอก) ผักคะน้า
โฆษณา
-
1ถ้าสิวไม่ดีขึ้นใน 4 - 8 อาทิตย์ ให้หาหมอโรคผิวหนัง. ปกติถ้าเป็นสิวปานกลางถึงไม่มาก คุณดูแลตัวเองได้ ซึ่งปกติจะหายหรือดีขึ้นใน 4 - 8 อาทิตย์ แต่ถ้าผ่านไปเป็นเดือนแล้วสิวไม่ดีขึ้น ไปหาหมอจะดีกว่า เพราะอาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม ลองปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนังดู ว่าจะหน้าใสได้ต้องรักษาวิธีใดบ้าง[44]
- คุณหมออาจแนะนำให้ซื้อยาเองตามร้านขายยา ไม่หายแล้วค่อยใช้ยาที่คุณหมอสั่ง
- อาจจะปรึกษาคุณหมอโรคทั่วไปก่อน ให้ refer หรือโอนเคสไปยังคุณหมอโรคผิวหนังที่แนะนำ แล้วรักษาโรคเฉพาะทางต่อไป
-
2ต้องหาหมอ ถ้าเป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบแดงเป็นก้อน. เพราะเป็นสิวอันตรายที่ก่อให้เกิดแผลเป็นได้ แถมสิวซีสต์กับสิวอักเสบแดงเป็นก้อนยังอยู่ลึกลงไปในผิวหนัง ใช้ยาทาภายนอกไม่ค่อยเห็นผล คุณหมอจะเป็นคนบอกเองว่าต้องกินยาร่วมด้วยหรือเปล่า รวมถึงวิธีการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณที่สุด[45]
- คุณหมออาจจ่ายยาปฏิชีวนะมาให้กิน เพื่อรักษาสิวจากภายใน
- นอกจากนี้คุณหมออาจจ่ายยาคุมกำเนิดให้กินร่วมด้วย ในกรณีที่สิวเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุล
-
3ถ้าสิวลุกลามให้หาหมอด่วน. ถึงบางวิธีธรรมชาติก็แก้สิวเห่อได้ แต่บางเคสอาจต้องใช้ยาแรงถึงจะคุมอยู่ คุณหมอโรคผิวหนังจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ว่าคุณต้องใช้ยาที่แรงขึ้นหรือไม่ เช่น จ่ายยาปฏิชีวนะให้กินเพื่อไม่ให้สิวเห่อมากไปกว่าเดิม[46]
- พอสิวหายเห่อ ก็กลับมาดูแลผิวประจำวันตามปกติได้
-
4ถ้าไม่ใช่วัยรุ่น แต่อยู่ๆ ก็มีสิวเห่อ ให้รีบหาหมอ. ถึงส่วนใหญ่จะเป็นกันได้ แต่บางเคส ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่ๆ มีสิวเห่อ อาจเป็นสัญญาณบอกโรคร้ายแรงบางอย่าง ถ้าหาหมอก็สบายใจได้ เพราะคุณหมอจะตรวจวินิจฉัยให้เอง ว่าคุณมีโรคอะไรเป็นสาเหตุของสิว และต้องดูแลรักษาอย่างไร กรณีนี้ห้ามรักษาเอง รีบไปหาหมอจะปลอดภัยที่สุด[47]
- ถึงจะไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน แต่ถ้าอยู่ๆ สิวเห่อในวัยผู้ใหญ่ ก็แนะนำให้ไปตรวจรักษากับคุณหมอจะดีที่สุด
-
5ถ้าใช้วิธีไหนในบทความนี้แล้วมีอาการแพ้ ให้รีบหาหมอ. ถึงส่วนใหญ่จะปลอดภัยดี แต่ถ้าคุณใช้รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติวิธีไหนในบทความวิกิฮาวนี้ แล้วเกิดอาการแพ้ แนะนำให้รีบไปหาหมอทันที จะเป็นคุณหมอประจำตัว หรือแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ โดยเฉพาะถ้ามีอาการดังต่อไปนี้[48]
- หน้า ปาก และตาบวม
- หายใจไม่สะดวก
- คอตีบตัน
- คล้ายจะเป็นลม
โฆษณา
เคล็ดลับ
- อย่าให้ผิวขาดน้ำ ผิวถึงจะสวยใส ให้ดื่มน้ำวันละ 6 - 8 แก้ว
- ลองใช้มาสก์ชาร์โคลขจัดสิว อาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง ถึงจะเห็นผล
- ปูผ้าขนหนูสะอาดบนหมอน ใช้รองนอนทุกคืน (หรือกลับด้านแทน จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องซักบ่อยๆ!) ป้องกันน้ำมันและแบคทีเรียจากใบหน้าตกค้างที่หมอนนานๆ หรือจะใช้ปลอกหมอนแล้วซักทุกวันแทนก็ได้ แบบนี้แบคทีเรียจะไม่กระจาย ช่วยต้านสิวเห่อได้ดี
- รักษาสิวไปทีละวิธี จะได้รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล ถ้าไม่ได้ผลก็จะได้ตัดไปทีละวิธี เหลือแต่วิธีดีๆ ที่ช่วยลดสิวในที่สุด
- ล้างหน้าด้วยสบู่ก้อน แล้วทาด้วยเบคกิ้งโซดาผสมน้ำจนเหนียวข้น สุดท้ายล้างน้ำให้สะอาด ทำแบบนี้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
- ถ้าสาวๆ คนไหนเป็นสิวขั้นรุนแรง แสดงว่าอาจจะมีปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล จนทำให้สิวเห่อ เช่น ผู้หญิงที่มีกลุ่มอาการถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ (polycystic ovarian syndrome (PCOS)) จะมีการทดสอบฮอร์โมนโดยหาระดับเอสโตรเจนจากน้ำลาย มักพบว่าเอสโตรเจนสูงไป ส่วนโปรเจสเตอโรนก็ต่ำไป อาการนี้เรียกว่า “ภาวะเอสโตรเจนเกิน (estrogen dominance)” ต้องได้รับครีมโปรเจสเตอโรนทดแทน (bioidentical progesterone cream) หรือรักษาทางธรรมชาติบำบัดก็เห็นผลดี แล้วจะพบว่าสิวที่เกิดจากอาการนี้ดีขึ้นถึง 50% (หรือมากกว่า ถ้าใช้ครีมโปรเจสเตอโรน) ซึ่งสิวก็ไม่ได้เกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุลเสมอไป
- ถ้าลองใช้ทุกวิธีที่กล่าวมาแล้วสิวยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้หาคุณหมอโรคผิวหนัง (dermatologist) โดยเฉพาะ
- ว่านหางจระเข้ก็ช่วยขจัดสิวได้
โฆษณา
คำเตือน
- ห้ามเอาเกลือ sea salt แห้งๆ ไปขัดผิวโดยตรง เพราะจะแสบ ถึงบางอย่างจะดี แต่ก็ต้องใช้แต่พอประมาณและถูกวิธี
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://practicaldermatology.com/2011/04/recommending-topical-moisturizers-clinical-benefits-and-practical-considerations
- ↑ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/30588129
- ↑ Kamatou GP, Vermaak I, Viljoen AM, Lawrence BM., Menthol: a simple monoterpene with remarkable biological properties.Phytochemistry. 2013 Dec;96:15-25.
- ↑ Fournomiti M, Kimbaris A, Mantzourani I, Plessas S, Theodoridou I, Papaemmanouil V, Kapsiotis I, Panopoulou M, Stavropoulou E, Bezirtzoglou EE, Alexopoulos A. Antimicrobial activity of essential oils of cultivated oregano
- ↑ Efstratiou E, Hussain AI, Nigam PS, Moore JE, Ayub MA, Rao JR.Antimicrobial activity of Calendula officinalis petal extracts against fungi, as well as Gram-negative and Gram-positive clinical pathogens.Complement Ther Clin Pract. 2012 Aug;18(3):173-6.
- ↑ Sienkiewicz M, Głowacka A, Kowalczyk E, Wiktorowska-Owczarek A, Jóźwiak-Bębenista M, Łysakowska M.The biological activities of cinnamon, geranium and lavender essential oils. Molecules. 2014 Dec 12;19(12):20929-40.
- ↑ http://www.essentialoils.co.za/irritation.htm
- ↑ http://www.webmd.com/eye-health/tc/eye-injuries-topic-overview
- ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/make-up
- ↑ Bruce Fife, C.N., N.D.: “The Coconut Oil Miracle”, 5th edition,2013, Penguin Books, NY 10014
- ↑ https://www.aad.org/media/news-releases/want-clearer-skin-reduce-acne-by-following-these-top-tips-from-dermatologists
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
- ↑ http://herbs.lovetoknow.com/How_to_Use_Lemon_Juice_to_Whiten_Skin
- ↑ Quist, Sven R., et al. "Anti-Inflammatory Effects Of Topical Formulations Containing Sea Silt And Sea Salt On Human Skin In Vivo During Cutaneous Microdialysis." Acta Dermato-Venereologica 91.5 (2011): 597-599. Academic Search Complete. Web. 17 June 2015.
- ↑ Murphy, K. (2010) Reviews of articles on medicinal herbs. Australian Journal of Medical Herbalism, 22(3), 100-103.
- ↑ http://www.webmd.com/food-recipes/antioxidants-in-green-and-black-tea
- ↑ Goldfaden, R.,Goldfaden, G.(2011) Topical Resveratrol Combats Skin Aging. Life Ext. 17(11), 1-5.
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
- ↑ Hanley, K. (2010)Immunity superstars: the 10 best foods to fight off colds and flu. Nat. Solutions. 130; 50-54.
- ↑ http://healthyeating.sfgate.com/list-minerals-sea-salt-8907.html
- ↑ https://www.beneficialbotanicals.com/facts-figures/comedogenic-rating.html
- ↑ Bruce Fife, C.N., N.D.: “The Coconut Oil Miracle”, 5th edition,2013, Penguin Books, NY 10014
- ↑ http://www2.hawaii.edu/~johnb/micro/m140/syllabus/week/handouts/m140.8.3.html
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1360273/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20657472
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17893831
- ↑ http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0254629910001705
- ↑ https://www.self.com/story/how-to-wash-your-face
- ↑ http://www.americanskin.org/education/the_skin_youre_in/pdf/poster.pdf
- ↑ https://www.aad.org/dermatology-a-to-z/for-kids/about-skin/acne-pimples-and-zits/different-kinds-of-pimples
- ↑ http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/teen-acne-13/pop-a-zit
- ↑ http://www.huffingtonpost.com/2012/09/04/is-it-okay-to-pop-pimple_n_1837502.html
- ↑ http://kidshealth.org/parent/general/body/acne_myths.html
- ↑ http://www.askdrray.com/pimples-and-acne-can-be-caused-by-food/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/
- ↑ http://www.the-gi-diet.org/lowgifoods/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/#R5
- ↑ http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminA-HealthProfessional/
- ↑ http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminD-HealthProfessional/
- ↑ http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminD-HealthProfessional/
- ↑ http://www.cancer.org/cancer/cancercauses/sunanduvexposure/sun-and-uv-exposure-landing-page
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/#R5
- ↑ https://www.aad.org/public/diseases/acne-and-rosacea/acne#treatment
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047
- ↑ https://www.aad.org/public/diseases/acne-and-rosacea/acne#treatment
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047
- ↑ https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,900 ครั้ง
บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม
โฆษณา